หากทำอะไรก็ตามที่สัญญากับลูกค้าไม่ได้ ลูกค้าจะไม่มี Loyalty ต่อแบรนด์ของคุณ และถ้าหาก
คุณทำผิดสัญญาสักครั้ง แน่นอนลูกค้าอาจจะให้โอกาสคุณอีกสักครั้งแต่ก็มีแนวโน้มว่าลูกค้าอาจจะไม่มีความภักดี ต่อแบรนด์ของคุณแล้ว แต่หากถ้าคุณทำได้รับรองลูกค้าจะเกิดความประทับใจในการให้บริการของคุณ และจะส่ง ผลโดยตรงทำให้แบรนด์ของคุณมีคุณค่ามากขึ้น สุดท้ายแล้วลูกค้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์
2.ฉีกกฎเดิมๆ เติมความโดดเด่น เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินธุรกิจเริ่มมีปัญหา หรือไม่เป็นไปตามเป้าหมายทั้งในเรื่องยอดขาย เป้าหมายระยะสั้น หรืออะไรก็ตามที่ส่งผลทำให้ธุรกิจสะดุด ลูกค้าจะเริ่มไม่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางการตลาด ที่ได้ปล่อยออกไป กลับสนใจแต่เรื่องของราคามากกว่า หากคุณต้องการให้ลูกค้ากลับมาสนใจคุณและทีมงานหรือพนักงาน ต้องเริ่มจากทิ้งเทคนิคการให้บริการลูกค้าเก่าๆที่ดูแล้วค่อนข้างไม่น่าสนใจ และไม่มี Interactive ต่อลูกค้าไม่ต้องไปยึดติดวีธีการเดิมๆ เช่น ป้ายโฆษณา โพสเว็บ ดังนั้นต้องสรรหาเทคนิคหรือบริการลูกค้าใหม่ๆ ที่สร้างความโดดเด่นและ แตกต่างกว่าคู่แข่ง ที่มีสินค้าหรือบริการที่เหมือนกัน ซึ่งในไม่ช้าผู้บริโภคจะกลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีในสินค้าหรือบริการของคุณไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
3. โชว์ตัวตนของคุณ โชว์ความจริงใจ คุณและแบรนด์คือสิ่งเดียวกัน เมื่อคุณและแบรนด์มีความจริงใจกับลูกค้า จะทำให้คุณเข้าใจความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และเข้าใจอย่างแท้จริงในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้หากคุณแสดงความจริงใจอย่างแท้จริง ให้ลูกค้าได้เห็น ยิ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นต่อแบรนด์คุณมากขึ้นเรื่อยๆ และนั้นจะเป็นผลดีต่อธุรกิจของคุณที่จะทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการหรือซื้อสินค้ากับคุณตลอดไป
4. ดีที่สุด ไม่ใช่ใหม่ที่สุด เทคโนโลยีใช้ในการสื่อสารได้ง่ายมากขึ้นแต้ถ้าใช้ไม่ระวัง และวางใจมันมากจนเกินไปจะทำให้คุณห่างออกไปจากลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้แบรนด์คุณเสื่อมลงไปเรื่อยๆ การส่งข้อความ โปรแกรมแชท ช่องทางการสื่อสารเหล่านี้ไม่สามารถเปิดโอกาสให้คุณสร้าง Emotional Connection กับลูกค้าได้ ต้องใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสม มาใช้ควบคู่กับการทำงาน ไม่ใช่แทนการทำงาน เพราะว่าไม่มีลูกค้าคนไหนอยากจะคุยแต่ทางอีเมล์ หรือเว็บบอร์ดหรือเว็บซึ่งอาจจะ เป็นการสื่อสารกับลูกค้าทางเดียว ทางที่ดีต้องใช้การคุยด้วยตัวเองด้วย จำไว้จงอย่าใช้ เทคโนโลยีเป้นเครื่องมือสุดท้ายและท้ายสุดให้กับแบรนด์ แต่จงใช้ให้เป็นจุดเริ่มต้นในการขยายธุรกิจ ต่อยอดและสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและยั่งยืนตลอดไป
5. ยอมรับความจริง และพัฒนาสิ่งใหม่ คือต้องยอมรับตัวตนในเรื่องของศักยภาพและความใหญ่โตของแบรนด์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มักคิดเองว่าแบรนด์ใหญ่เกินกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญแต่ถูกมองข้ามไป คือเมื่อคุณคิดว่าธุรกิจของคุณดีที่สุดแล้วจะทำให้คุณละเลยการพัฒนาธุรกิจและแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการประเมินะุรกิจของคุณ อย่างสม่ำเสมอ ถามตนเองว่าจะพัฒนาบริการ อะไรใหม่ๆให้ลูกค้า เข้าใจและรู้วิธีการกระตุ้นธุรกิจแบรนด์ หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจ คุณต้องสร้าง Emotional Brand ให้มีพลัง และสนใจที่จะสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าให้ได้มากที่สุด
6. ไร้ตัวตน ไร้พลัง ความผิดพลาดอย่างหนึ่งของการทำธุรกิจคือ ขาดความเป็นตัวตน (Brand Identity) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ลูกค้าที่มารับบริการหรือซื้อสินค้าของคุณไม่ค่อยสมหวัง เพราะหากมีแต่รูปลักษณ์ภายนอกดูดี แต่ว่าขาดความเป็นตัวตนก็เท่ากับว่าขาดพลังในการแสดงจุดเด่น ของแบรนด์ออกมา เพื่อเป็นจุดขายให้กับลูกค้า เมื่อลูกค้าเข้าไปใช้บริการก็จะไม่เกิดความรู้สึกประทับใจ และในไม่ช้าคุณเองก็จะล้มเหลว ลูกค้าทั้งหลายก็จะไปใช้บริการหรือซื้อ สินค้าจากคู่แข่งทางการค้าของคุณ ทั้งนี้ในขั้นตอนการทำการตลาดหรือโฆษณา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยึด Brand Identity เป็นพื้นฐานเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น