วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ใช้อีเมล์เพื่อส่งเสริมธุรกิจอย่างถูกวิธี


อีเมล์เป็นหนึ่งในเครื่องมือการทำธุรกิจที่ง่ายดายที่สุดในปัจจุบัน การเรียนรู้เทคนิคเชิงลึกของการทำตลาดด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการ สร้างความแตกต่างและได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจในการดำเนินธุรกิจ

การทำธุรกิจในสังคมยุคเวิลด์ไวด์เว็บ ‘อีเมล์’ หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จัดเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากของผู้ประกอบการและ นักการตลาด เพราะเจ้าสิ่งนี้มีประโยชน์นานัปการและสามารถส่งเสริมวิธีการทำธุรกิจให้ ง่ายดายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อีเมล์จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกำลังคืบคลานเข้ามาแทนที่วิธีการขาย ตรงผ่านทางการส่งจดหมายที่ติดตราอากรสแตมป์ในไม่ช้า ผู้ประกอบการหลายรายเข้าใจผิด และหว่านส่งอีเมล์ไปแบบไร้ซึ่งจุดประสงค์และศิลปะในการสื่อสาร จึงทำให้อีเมล์เหล่านั้นกลายเป็นขยะบนโลกออนไลน์และสร้างความน่ารำคาญให้ผู้ คนส่วนใหญ่เป็นจำนวนมาก การจะใช้อีเมล์ทำธุรกิจให้ประสบผลสัมฤทธิ์ในยุคปัจจุบันจึงต้องอาศัยเทคนิค บวกกับศิลปะการสื่อสารมากขึ้นกว่าในอดีตที่ใช้เนื้อหาเป็นตัวนำแต่เพียง อย่างเดียว โดยเทคนิควิธีการใช้อีเมล์เพื่อการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมีเคล็ดลับ ง่ายๆดังต่อไปนี้

ต้องรู้กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน

ถ้าจะใช้อีเมล์ในการทำธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ ผู้ประกอบการต้องรู้กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ชัดเจนของตนเองเสียก่อน เพราะจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการสามารถสื่อสารได้ตรงกับกลุ่มลูกค้าของตนเองมาก ที่สุด ซึ่งจะทำให้ได้รับปฎิกิริยาตอบกลับมาในเวลาที่รวดเร็วจนนำไปสู่การตัดสินใจ ซื้อสินค้าในขั้นตอนสุดท้ายและจะถือว่าเป็นการปิดการขายโดยสมบูรณ์แบบอย่าง แท้จริง โดยที่อยู่อีเมล์ของลูกค้าสามารถหาได้จากฐานข้อมูลสมาชิกของบริษัทผู้ประกอบ การหรือแบบสำรวจต่างๆที่ได้จัดทำขึ้น ซึ่งปัจจุบันการหาข้อมูลประวัติของผู้บริโภคไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไร สำคัญที่ว่าผู้ประกอบการต้องเลือกอีเมลล์ให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพียง เท่านั้นเอง และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงและผู้ประกอบการห้ามทำเป็นอันขาดก็คือการส่งอีเมล์ ในลักษณะทิ้งระเบิดเพราะนอกจากจะทำให้คนอื่นรำคาญแล้ว อีเมล์ของท่านยังถูกแจ้งเป็นสแปมอีกต่างหาก ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหลุดจากแบล็กลิสต์ดังกล่าวได้

ใส่หัวข้อเรื่องที่น่าสนใจจากผู้ส่งที่น่าเชื่อถือ

สิ่งที่เป็นตัวตัดสินอย่างหนึ่งว่าลูกค้าจะเปิดอ่านอีเมล์ของคุณหรือไม่ นั่นก็คือการใส่หัวข้อเรื่องและผู้ส่ง เพราะโดยปกติผู้บริโภคจะสนใจเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเองเท่านั้น หากเรื่องไหนไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีความสนใจก็ลืมไปได้เลยที่พวกเขาจะมาเปิด อ่าน ดังนั้นการตั้งชื่อหัวข้อเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยหากผลิตภัณฑ์หรือบริการของท่านมีชื่อเสียงก็ขอแนะนำให้ใส่ชื่อกำกับลงไป ในหัวข้อด้วย เช่น ชุดผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อความขาวบริสุทธิ์จากชาเนลได้มาถึงแล้ว เป็นต้น

เล่นคำกับแคมเปญให้น่าดึงดูด

การสร้างจุดเด่นให้กับตัวข้อความเนื้อหาในอีเมลล์จัดเป็นสิ่งเร้าที่ ประสบความสำเร็จมาก เพราะสามารถเรียกความสนใจจากลูกค้าได้โดยทันที เช่น น้ำหอมลาฟลอร่า ลด 50% หมู่บ้านนิสรากร เริ่มต้นที่7ล้าน เป็นต้น การเล่นคำตัวอักษรให้มีขนาดที่ใหญ่กว่าปกตินี้จะช่วยทำให้ลูกค้ามองเห็นถึง สิ่งพิเศษที่ผู้ประกอบการต้องการจะนำเสนอออกมาได้อย่างโดดเด่นและโดยทันที จึงเหมาะกับการขายสินค้าที่ต้องการสร้างยอดขายอย่างรวดเร็ว จัดองค์ประกอบการนำเสนอให้มีสเน่ห์ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะไม่อยากอ่านข้อมูลเป็นจำนวนมากๆอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้มีแต่ภาพประกอบและให้ข้อมูลน้อยเกินไป อีเมล์ดังกล่าวก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยในการโน้มน้าวการตัดสินใจของ ลูกค้า ดังนั้นผู้ประกอบการต้องออกแบบจัดองค์ประกอบในอีเมล์ทั้งในส่วนของเนื้อหา และภาพประกอบให้สามารถไปด้วยกันได้อย่างลงตัวมากที่สุด โดยเน้นที่ความสะอาดตาและรูปแบบลักษณะที่สามารถอ่านได้ง่ายเป็นหลัก พยายามออกแบบโดยไม่ต้องกดเลื่อนหน้าจอลงมา อีเมล์ที่ดีต้องสามารถทำให้ลูกค้าเข้าใจความหมายได้ด้วยการคลิ๊กเปิดอ่าน เพียงแค่ครั้งเดียวโดยไม่ต้องใช้เม้าท์คลิ๊กเลื่อนหน้าจอลงไปอ่านข้อความ หรือดูภาพประกอบด้านล่างอีก เพราะอาจจะทำให้เสียโอกาส หากลูกค้าไม่เลื่อนลงมาดู

ช่องทางการติดต่อกลับคือสิ่งที่ไม่ควรขาด

มีข้อผิดพลาดที่ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจะเกิดขึ้นได้แต่ก็ได้เกิดขึ้น แล้วสำหรับการใช้อีเมล์ทำธุรกิจ นั่นก็คือ การลืมให้ข้อมูลรายละเอียดในการติดต่อกลับ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีอยู่บ้างเหมือนกันประเภทที่ว่าองค์ประกอบทุกอย่างครบ ถ้วนจนสามารถทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจอยากได้สินค้าขึ้นมาจริงๆ แต่ก็ต้องมาสะดุดตรงที่ว่าหาข้อมูลในส่วนของการติดต่อกลับไม่เจอจึงต้องพลาด โอกาสในการขายของไป ซึ่งถึงแม้ข้อมูลการติดต่อจะแจ้งให้ลูกค้าทราบอยู่แล้วในส่วนของรายละเอียด ผู้ส่งอีเมล์แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะใส่รายละเอียดลงในเนื้อหาภายในอีเมล์ด้วย

เลือกเวลาที่เหมาะสมในการส่ง

ถึงแม้อีเมล์จะมีความสะดวกสบายในการส่งข้อความที่สามารถส่งได้ทุกที่และ ที่สำคัญคือทุกเวลา แต่นั่นเป็นเพียงแค่ในมุมมองจากฝ่ายของผู้ส่งเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงผู้รับไม่ได้มีความพร้อมที่จะรับและเปิดอีเมลล์อ่านตลอด เวลาเหมือนผู้ส่ง ดังนั้นเวลาจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากที่ผู้ประกอบการทุกคนควรเอาใจใส่ โดยจากการประมวลและสอบถามผู้เชี่ยวชาญในการทำ E-mail Marketing แล้วพบว่าช่วงเวลาที่ควรทำการหลีกเลี่ยงการส่งอีเมลล์ไปให้ผู้บริโภคมากที่ สุด คือ วันจันทร์ในช่วงเช้าเพราะจะมีจดหมายเข้ามาในกล่อง inbox เป็นจำนวนมากและเป็นช่วงเวลาแรกของการเปิดทำงานอีกครั้งหลังจากวันหยุดจึง เป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่มีการติดต่อกันเรื่องงานวุ่นวายมากจนลูกค้าไม่มี เวลาอ่านอีเมล์ของท่านอย่างแน่นอน และอีกช่วงเวลาหนึ่งคือตั้งแต่เวลาบ่ายวันศุกร์ยาวจนไปถึงวันหยุดเสาร์และ อาทิตย์ก็ไม่ควรส่งโดยเด็ดขาด เพราะช่วงเวลาดังกล่าวลูกค้าของผู้ประกอบการจะเลิกเช็คอีเมลล์และเตรียมตัว เดินทางกลับบ้านหรือไปต่างจังหวัดเพื่อพักผ่อนแล้ว

จัดทำ A/B Split Test

การทดสอบด้วยวิธีการ A/B Split Test ถือว่าทำได้ง่ายมากที่สุด โดยวิธีการคือให้ผู้ประกอบการสร้างอีเมล์ในหัวข้อเรื่องเดียวกันออกมา 2 ชุดให้มีความแตกต่างกันโดยยึดหลักการออกแบบตามที่ได้เสนอไปแล้วด้านบน จากนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบและคัดเลือกรูปแบบอีเมล์ที่ผู้ประกอบการเห็นว่า เหมาะสมมากที่สุด แล้วจึงนำอีเมล์ดังกล่าวเป็นต้นฉบับส่งไปให้ลูกค้าต่อไปเป็นอันเสร็จครบถ้วน ในทุกขั้นตอน
การส่งเสริมการทำธุรกิจผ่าน E – mail Marketing เป็นตัวขับเคลื่อนในยุคปัจจุบันต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเริ่มจะมีภาพ ลักษณ์ในมุมลบออกมาให้เห็นกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากความน่าเชื่อถือบวกกับผู้ประกอบการนำอีเมล์มาใช้ อย่างขาดศิลปะ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเสียใหม่โดยประยุกต์การใช้อี เมลล์ในการทำธุรกิจให้มีศิลปะมากขึ้นในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ขายของแบบ ฮาร์ดเซลล์จนเกินไป จึงจะทำให้อีเมล์สามารถช่วยสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจได้และพัฒนาเป็นช่อง ทางนำพาเงินเข้าสู่กระเป๋าของผู้ประกอบการในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 ช่องทางในการทำตลาดผ่านเว็บ


1.Google Adwords
บริการของ Google Adwords อยู่ในรูปแบบของ PPC (Pay Per Click) หรือการจ่ายเงินเมื่อมีการคลิ๊กเข้าไปดูโฆษณาของเราเท่านั้น ถ้าไม่มีคนคลิ๊กโฆษณาเราก็ไม่เสียเงินใดๆทั้งสิ้น ทำให้ผู้ที่คลิ๊กเข้าไปนั้น ต้องสนใจสินค้าหรือบริการของเราแน่นอน ถึงจะอ่านข้อความโฆษณาของเราแล้วคลิ๊กเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ โฆษณาจะขึ้นแสดงอยู่ทางด้านขวาของผลการค้นหา หรือที่เรียกว่า Sponser Link (Link ของผู้สนันสนุน) ในปัจจุบัน Google Adwords สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกแต่ละจังหวัดได้แล้ว เราสามารถกำหนดการแสดงผลของโฆษณาให้อยู่ที่ กรุงเทพ หรือ นครราชสีมา ได้อีกทั้งยังสามารถกำหนดเวลาการแสดงผลได้อีกด้วย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีสุดๆ

2.รูปแบบ PPC อื่นๆ นอกจาก Google Adwords
นอกจาก Google ในไทยก็จะมี BumQ และ AdYim ค่าโฆษณาก็จะถูกลงมาหน่อย อาจจะคลิ๊กละ 1 บาทหรือ 2 บาท แต่ประสิทธิภาพในการเข้าถึงเป้าหมายก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ในการทำโฆษณารูปแบบ PPC ในประเทศไทย โฆษณาก็จะแสดงผลในเว็บไซต์ที่เป็นพันธมิตรของผู้ให้บริการอย่าง BumQ และ AdYim ซึ่งจะนำข้อความโฆษณาหรือ Banner ของเราไปติดลงในเว็บไซต์พันธมิตรนั้นเองครับ

3.Banner
ลงโฆษณาโดยใช้ Banner ไปลงโฆษณาตามเว็บต่างๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายของเรา เช่น เว็บที่คุยเรื่องการท่องเที่ยวต่างๆ

4.Social Network
การทำการตลาดรูปแบบของ Social Network ปัจจุบันการทำโฆษณาในลักษณะนี้ สามารถเข้าถึงผู้คนได้หลากหลาย Social Network ก็คือ สังคมออนไลน์ เช่น Twistter, Facebook และอื่นๆ โดยทั่วๆไปแล้ว การทำโฆษณาลักษณะนี้นิยมใช้ในการสร้างแบรนเนม อิทธิพลของ Social Network จะทำให้เกิดการบอกกันบากต่อปากของผู้พบเห็น เราเรียกว่า Viral Marketing หรือการตลาดที่แพร่หลายเหมือนไวรัส นั้นเองครับ ซึ่งจะทำให้มีคนรู้จักหรือพบเห็นบริการของเราได้เองโดยอัตโนมัติจนเกิดแบรน เนมขึ้นมานั้นเอง

5.Blog Marketing ,Web Marketing (ทำเว็บไซต์เอง)
การสร้าง Blog จากของฟรีๆ อย่างเช่น Blogger Blog เป็นระบบที่สามารถติดต่อกันระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านผ่านระบบ Comment จึงสามารถเกิดสังคมออนไลน์ขนาดย่อมได้ เราอาจจะเขียนเรื่องที่ตัวเองสนใจและใส่ Banner โฆษณาลงไปใน Blog ก็เป็นหนทางที่ดีไม่ใช่น้อยเลยที่จะสามารถทำการตลาดได้


6.Video Marketing
ทำโดยการเผยแพร่กิจกรรมต่างที่จะนำเสนอในรูปแบบของไฟล์วีดีโอผ่านทาง Internet
แผนการตลาดผ่าน Youtube จุดมุ่งหมาย คือ อิมเมจ ภาพลักษณ์ และ แบรนด์สินค้า (บริการ)

7.Email Marketing
Email Marketing ไม่ใช่การ Spam แตกต่างกันตรงที่ผู้รับ ต้องเกิดความสนใจและกรอกรับข้อมูลข่าวสาร จึงทำให้เราสามารถส่งข่าวสารไปให้ผู้รับผ่านทาง Email ได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดของการทำ Email Marketing ก็คือการได้ฐานข้อมูลของลูกค้า และเราก็จะสามารถส่งสินค้าหรือบริการต่างๆ ให้ผู้ที่ติดตามได้นั้นเอง

8.Post ฟรี ลงประกาศฟรี
คือการไปขอลงประกาศตามเว็บไซต์ที่เปิดให้สามารถลงประกาศได้ฟรี อย่างเช่นเว็บ pantipหรือ thai2hand เหล่านี้ เราสามารถนำสินค้าหรือบริการไปลงประกาศตามหมวดหมู่ได้ครับ

9.ทำ Affiliate Program
อธิบายง่ายๆ ก็คือการหาลูกค้าให้กับทางเว็บแล้วได้ค่าคอมมิชชั่น เช่น จัดทำเว็บแล้วขายโปรแกรมทัวร์ต่างๆผ่านทางเว็บของผู้จัดทำ

10.การทำ Search Engine Optimization (SEO)
พูดง่ายคือการทำให้เว็บเราแสดงผลต้นๆ(หน้าแรก)ในการแสดงผลในการค้นหา เช่น ถ้าเราทำคีย์ บริษัททัวร์ เมื่อเราคีย์คำว่าบริษัททัวร์ ในช่องแสดงผลการค้นหา เราจะต้องเจอเว็บไซต์ของเราใน 10 ลำดับแรกของการค้นหา ก็จะถือว่าการทำ SEO ประสบผลสำเร็จ ข้อดีคือประหยัด แสดงผลได้ยาว ข้อเสียคือช้าต้องวิเคราะห์และมีขั้นตอนหลายอย่างในการทำ (SEO)

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

7 เคล็ด(ไม่)ลับ กับการตลาดออนไลน์

 
1. กฎ 10/90
มี ธุรกิจจำนวนเพียง 10% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จกับการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น การลงโฆษณาออนไลน์ การตลาดผ่านอีเมล์ การทำเวปไซต์ แล้วอะไรคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเป็นหนึ่งในสิบเปอร์เซ็นต์นั้น ไม่ใช่เรื่องยากถ้าคุณทุ่มเท 90% กับการปรับปรุงคุณภาพของการตลาดออนไลน์ ซึ่งทำได้โดยการวัดผลอย่างชัดเจน (Performance Assessment) วิเคราะห์ผลอย่างแม่นยำ (Analysis & Review) และปรับปรุงอย่างชาญฉลาด (Continuous Optimization)

2. วัดผลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
If you can’t measure, you can’t control อะไรก็ตามที่คุณวัดไม่ได้ ก็ยากที่คุณจะควบคุมมันได้ การตลาดออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน หลายธุรกิจลงทุนไปกับสืื่อหลากหลายชนิด ทั้งลงนิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แผ่นพับ ใบปลิว หรือ โฆษณาผ่านอินเตอร์เนต แต่กลับละเลยที่จะวัดผลของสื่อเหล่านั้นอย่างมีรูปธรรม เป็นโชคดีของการตลาดออนไลน์ ทีมีทางออกง่ายๆ ในการวัดผลตอบแทน เนื่องจากมีเครื่องมือในการวัดผลอย่าง Google Analytics ซึ่งนอกจะใช้บริการฟรีแล้วยังสามารถ ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง ไม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้จะเป็น website, flash, email หรือ video แม้ว่าจะมีข้อจำกัดเรื่อง pageviews หรือจำนวนหน้าในการเข้าชมจะต้องไม่เกิน 5 ล้าน pageviews ต่อเดือน สำหรับฟรี account หากเกินกว่านั้นก็มาเป็นลูกค้าโฆษณาของ Google ก็สามารถใช้ฟรีโดยไม่มีข้อจำกัด

3. วิเคราะห์เด่น ก็เป็นต่อ
ปัญหา ที่พบในปัจจุบันไม่ใช่ว่าเราไม่สามารถวัดผลได้ แต่การแปลผลที่ได้นั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า จะมีประโยชน์อะไรที่มีกราฟสถิติมากมายแต่เราไม่ทราบว่าข้อมูลเหล่านั้นส่งผล อย่างไรต่อเวปไซต์ของคุณ เคล็ดลับก็คือ Segmentation คุณต้องพยายามแบ่งกลุ่มผู้เข้าชม อาทิเช่น มาจาก Search Engine, โฆษณาออนไลน์, หรือพิมพ์ url ตรงๆเข้ามาเลย และทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานจากข้อมูลที่ Segment เรียบร้อยแล้ว จะทำให้คุณทราบถึงข้อมูลเชิงลึกของลูกค้ากลุ่มนั้นๆอย่างลึกซึ้ง

4. ปรับปรุงเพื่อชัยชนะ
ที่ กล่าวมาคงจะไม่สมบูรณ์ถ้าขาดส่วนการปรับปรุง (Optimization) เพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า เมื่อคุณได้ข้อมูลจากการวิเคราะห์อย่างละเอียด คุณสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวมาทดสอบ เพื่อปรับปรุงให้มีผลตอบแทนต่อหน่วยสูง
ที่สุดกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องพยายามเปลี่ยนจากผู้เข้าชมเป็นลูกค้ามากที่สุด (Conversion) ไม่ว่าจะเป็นการทำรายการซื้อสินค้า สอบถามราคา หรือ ลงทะเบียนจดหมายข่าว

5. SEO
Search Engine Optimization (SEO) แปลตรงๆก็คือ การปรับแต่งเวปไชต์เพื่อ Search Engine เนื่องจากในปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเตอร์เนตจำนวนไม่น้อยที่ค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine อย่าง Google, Yahoo, MSN หรือ Ask.com ทำอย่างไร Search Engine เหล่านี้จึงจะสามารถแสดงผลลัพธ์ในการค้นหาเป็นเวปไซต์ของเราอยู่ในอันดับ ต้นๆ นั่นเป็นที่มาการของ SEO เคล็ดลับหนึ่งก็คือ ส่ง Sitemaps ให้กับ Search Engine ดังๆ ที่ dmoz.org เพื่อการกระจายของ URL ไปยัง Search Engine ทั้งหมดข้างต้นฟรี

6. SEM
Search Engine Marketing คือการแสดงโฆษณาควบคู่ไปกับผลลัพธ์ของการค้นหาผ่าน Search Engine บางคนเข้าใจ SEM ว่า เพียงลงทุนในโฆษณามากๆผลลัพธ์ก็จะดีเอง หลายครั้งที่อันดับที่ของผลลัพธ์การค้นหาคนที่ลงทุนมากกว่ากลับได้อันดับที่ ต่ำกว่า เคล็ดลับก็คือ การ Benchmark เทียบการลงทุนกับผลตอบแทนจึงจะทราบว่า ความคุ้มค่าในการทำ SEM เป็นอย่างไร

7. Consultant is not needed
หาก มีทั้งบุคคลากรที่เชี่ยวชาญและเวลาในการวัดผลและวิเคราะห์รวมไปถึงการปรับ ปรุงผลลัพธ์ในการทำการตลาดออนไลน์ ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ก็ไม่มีความจำเป็น แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีการตลาดออนไลน์ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การมีทีมที่ปรึกษาซึ่งทุ่มเทกับการวิจัย พัฒนา และนำมาใช้จริง จะสามารถลดทั้งต้นทุนและเวลาอีกทั้งเพิ่มความคุ้มค่าให้กับเม็ดเงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่คุณลงทุนไป ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Marketing How to เคล็ดลับการมัดใจลูกค้า


1.สัญญาต้องเป็นสัญญา คือหากคุณสัญญาอะไรกับลูกค้าไว้ต้องทำตามที่พูดที่สัญญาไว้อย่างจริงจัง
หากทำอะไรก็ตามที่สัญญากับลูกค้าไม่ได้ ลูกค้าจะไม่มี Loyalty ต่อแบรนด์ของคุณ และถ้าหาก
คุณทำผิดสัญญาสักครั้ง แน่นอนลูกค้าอาจจะให้โอกาสคุณอีกสักครั้งแต่ก็มีแนวโน้มว่าลูกค้าอาจจะไม่มีความภักดี ต่อแบรนด์ของคุณแล้ว แต่หากถ้าคุณทำได้รับรองลูกค้าจะเกิดความประทับใจในการให้บริการของคุณ และจะส่ง ผลโดยตรงทำให้แบรนด์ของคุณมีคุณค่ามากขึ้น สุดท้ายแล้วลูกค้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์

2.ฉีกกฎเดิมๆ เติมความโดดเด่น  เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินธุรกิจเริ่มมีปัญหา หรือไม่เป็นไปตามเป้าหมายทั้งในเรื่องยอดขาย  เป้าหมายระยะสั้น หรืออะไรก็ตามที่ส่งผลทำให้ธุรกิจสะดุด ลูกค้าจะเริ่มไม่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางการตลาด ที่ได้ปล่อยออกไป กลับสนใจแต่เรื่องของราคามากกว่า หากคุณต้องการให้ลูกค้ากลับมาสนใจคุณและทีมงานหรือพนักงาน ต้องเริ่มจากทิ้งเทคนิคการให้บริการลูกค้าเก่าๆที่ดูแล้วค่อนข้างไม่น่าสนใจ และไม่มี Interactive ต่อลูกค้าไม่ต้องไปยึดติดวีธีการเดิมๆ เช่น ป้ายโฆษณา โพสเว็บ ดังนั้นต้องสรรหาเทคนิคหรือบริการลูกค้าใหม่ๆ ที่สร้างความโดดเด่นและ แตกต่างกว่าคู่แข่ง ที่มีสินค้าหรือบริการที่เหมือนกัน  ซึ่งในไม่ช้าผู้บริโภคจะกลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีในสินค้าหรือบริการของคุณไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

3. โชว์ตัวตนของคุณ โชว์ความจริงใจ คุณและแบรนด์คือสิ่งเดียวกัน เมื่อคุณและแบรนด์มีความจริงใจกับลูกค้า จะทำให้คุณเข้าใจความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และเข้าใจอย่างแท้จริงในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้หากคุณแสดงความจริงใจอย่างแท้จริง ให้ลูกค้าได้เห็น ยิ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นต่อแบรนด์คุณมากขึ้นเรื่อยๆ และนั้นจะเป็นผลดีต่อธุรกิจของคุณที่จะทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการหรือซื้อสินค้ากับคุณตลอดไป

4. ดีที่สุด ไม่ใช่ใหม่ที่สุด  เทคโนโลยีใช้ในการสื่อสารได้ง่ายมากขึ้นแต้ถ้าใช้ไม่ระวัง และวางใจมันมากจนเกินไปจะทำให้คุณห่างออกไปจากลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้แบรนด์คุณเสื่อมลงไปเรื่อยๆ การส่งข้อความ โปรแกรมแชท ช่องทางการสื่อสารเหล่านี้ไม่สามารถเปิดโอกาสให้คุณสร้าง Emotional Connection กับลูกค้าได้ ต้องใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสม มาใช้ควบคู่กับการทำงาน ไม่ใช่แทนการทำงาน เพราะว่าไม่มีลูกค้าคนไหนอยากจะคุยแต่ทางอีเมล์ หรือเว็บบอร์ดหรือเว็บซึ่งอาจจะ เป็นการสื่อสารกับลูกค้าทางเดียว ทางที่ดีต้องใช้การคุยด้วยตัวเองด้วย จำไว้จงอย่าใช้ เทคโนโลยีเป้นเครื่องมือสุดท้ายและท้ายสุดให้กับแบรนด์ แต่จงใช้ให้เป็นจุดเริ่มต้นในการขยายธุรกิจ ต่อยอดและสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและยั่งยืนตลอดไป

5. ยอมรับความจริง และพัฒนาสิ่งใหม่  คือต้องยอมรับตัวตนในเรื่องของศักยภาพและความใหญ่โตของแบรนด์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มักคิดเองว่าแบรนด์ใหญ่เกินกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญแต่ถูกมองข้ามไป คือเมื่อคุณคิดว่าธุรกิจของคุณดีที่สุดแล้วจะทำให้คุณละเลยการพัฒนาธุรกิจและแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการประเมินะุรกิจของคุณ อย่างสม่ำเสมอ ถามตนเองว่าจะพัฒนาบริการ อะไรใหม่ๆให้ลูกค้า เข้าใจและรู้วิธีการกระตุ้นธุรกิจแบรนด์ หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจ คุณต้องสร้าง Emotional Brand ให้มีพลัง และสนใจที่จะสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าให้ได้มากที่สุด

6. ไร้ตัวตน ไร้พลัง ความผิดพลาดอย่างหนึ่งของการทำธุรกิจคือ ขาดความเป็นตัวตน (Brand Identity) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ลูกค้าที่มารับบริการหรือซื้อสินค้าของคุณไม่ค่อยสมหวัง เพราะหากมีแต่รูปลักษณ์ภายนอกดูดี แต่ว่าขาดความเป็นตัวตนก็เท่ากับว่าขาดพลังในการแสดงจุดเด่น ของแบรนด์ออกมา เพื่อเป็นจุดขายให้กับลูกค้า เมื่อลูกค้าเข้าไปใช้บริการก็จะไม่เกิดความรู้สึกประทับใจ และในไม่ช้าคุณเองก็จะล้มเหลว ลูกค้าทั้งหลายก็จะไปใช้บริการหรือซื้อ สินค้าจากคู่แข่งทางการค้าของคุณ ทั้งนี้ในขั้นตอนการทำการตลาดหรือโฆษณา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยึด Brand Identity เป็นพื้นฐานเสมอ