วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สอนseo รับสอนseo สอนการตลาดออนไลน์ สอนwordpress

สอนseo รับสอนseo สอนการตลาดออนไลน์ สอนwordpress

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีฝ่าคลื่นยักษ์ ทางรอดธุรกิจในโลกยุคใหม่


กูรูด้านการตลาดเมืองไทยเปิด 9 การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะเกิดขึ้นหลังยุคสังคมฐานความรู้ Post Knowledge Based Society เตือนภัยภาคธุรกิจให้ปรับรูปแบบกลยุทธ์สอดรับพลวัตโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว  รับมือกับเหตุการณ์ที่คาดฝันซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาบนโลกใบนี้ แรงบีบรัดเช่นนี้สร้าง Awareness ทุกฝ่ายโดยเฉพาะองค์กรธุรกิจรับรู้ว่าหากยังไม่ปรับตัว  อาจหมายความถึงการตกขบวนแข่งขันในสนามการค้ายุค Post Knowledge Based Society
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเจ้าของผลงานหนังสือ Marketing Move ที่ร่วมแต่งกับศาตราจารย์ฟิลิป คอตเลอร์  “กูรู”การตลาดชื่อก้องของโลก ได้เสนอ 9 วิธีในการทำธุรกิจยุคหน้าสำหรับนักธุรกิจไทย ผ่านเวทีการบรรยายในหัวข้อ “การเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจไทยยุค Digital Economy” ที่ซอฟต์แวร์พาร์คจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้  ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

จากพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และรุนแรง  จะทำให้โลกหลังจากนี้ไปเกิดช่องว่างทางยุทธศาสตร์อย่างน้อย  5ช่องว่าง  ช่องว่างที่ 1  สิ่งแวดล้อมที่เราเคยเป็นอยู่ในปัจจุบันกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นในอดีต ช่องว่างที่ 2 คือช่องว่างระหว่างเป้าหมายที่จะต้องดีลิฟเวอร์เพื่อที่จะให้สอดคล้องกับ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในอนาคต และรวมถึงก้าวที่ต้องดีลิฟเวอร์ ตามนั้นได้เปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่   ช่องว่างที่ 3   ภารกิจที่เปลี่ยนไป ซึ่งเราจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเราเองในเรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรนี่เป็นช่องว่างที่ 4 และขีดความสามารถที่เราจำเป็นต้องมีในอนาคตกับในปัจจุบันมันอาจจะมีความแตก ต่าง อาจจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ นั่นก็คือช่องที่ 5
เพราะ ฉะนั้น   เรากำลังอยู่ในภาวะที่ต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายไม่ใช่แค่เรื่องวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้   แต่เพื่ออนาคต เป็นอนาคตที่ทุกคนจะข้ามไปได้อย่างน้อยจะผ่านยุทธศาสตร์ช่องว่างด้วยกัน 5 ช่องว่างดังกล่าว

ถามว่า แล้วเราจะทำอย่างไร?

ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า ในหนังสือ Marketing Move ที่ได้เขียนขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงในการที่จะทำให้สังคมนั้นเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรม ไปสู่สังคมที่เป็นฐานความรู้( Knowledge Based Society) ได้พูดเอาไว้ 9 ประการ คือจาก Mass Market ที่บริการคนทีละมากๆ กลายเป็นเราสามารถ Customize ได้เป็น Market of One จากเดิมที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎเหล็กของหลักเศรษฐศาสตร์ว่าด้วย Economics of Diminishing Return ไปสู่เรื่องของ Economic of  Increasing  Return
จากเรื่องที่ทุกคนมองว่าเราเป็นเจ้าของ(Ownership)มาสู่ที่ มองว่าใครก็ตามที่สามารถจะสร้างเน็ตเวิร์กกับคนอื่น  คนนั้นเป็นผู้ที่กำชัยชนะ(Ability to Access) และจากการที่มองตัวเองเป็นหลักภายใต้ Corporate Governance กลายมาเป็น Market Governance
จากการเดิมเคยต้องทำของหรือสินค้าให้ไม่มีใคร เหมือน(Goods for Elites) กลายเป็นว่าเราสามารถที่จะตอบสนองให้กับทุกๆ คนได้(Goods for Everyone) และจาก Just in Time มาสู่ Real Time อย่างแท้จริง(ดูแผนภูมิประกอบ)

 ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดคนสำคัญของ ประเทศไทยยังวิเคราะห์ต่อว่า  โลกไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะนี่คือโลกเมื่อประมาณปีค.ศ. 2000 แต่โลกได้เปลี่ยนไปมาก หลังจากที่เราก้าวเข้าสู่ ความเป็น Knowledge Based Society อย่างแท้จริง  ซึ่งมีทั้งข่าวดีและก็ข่าวร้าย

ข่าวดีของโลกก็คือ Globalization นั้นทำให้เกิดประชาธิปไตย (Democratization) ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์พร้อมๆ กับเกิดประชาธิปไตยในเชิงของภูมิเศรษฐศาสตร์ หรือพูดง่ายๆก็คือ Democratization Power and Wealth

สงครามเย็นสิ้นสุดลงก่อให้เกิด Muti-Polarity(ขั้วอำนาจหลายขั้ว) นี่คือ Democratization of Power แต่ในขณะเดียวกันประเทศอื่นๆ  การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดโมเดลใหม่ๆ การใช้ทรัพยากรจากทั่วทุกมุมโลก(Outsourcing) เป็นผลทำให้ความมั่งคั่งกระจายตัวออกไป โอกาสในการสร้างความมั่งคั่งไม่ได้กระจุกอยู่ในจุดเดิม เพราะฉะนั้นทั้งสองส่วนทำให้โลกในปัจจุบันเป็นโลกที่มีประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นโลกที่มีพลวัตสูงขึ้น เป็นโลกที่เปิดมากขึ้นอยู่ใน Open System  และเป็นโลกที่ต้องเชื่อมต่อกันมากขึ้นทุกที

แต่ข่าวร้ายของโลกหลัง จากที่เราเข้าไปสู่ Knowledge Based Society ก็คือ เราทำลายกันเอง เกิด Global Imbalance ไม่ว่าจะในแง่ของสภาวะแวดล้อม  Imbalance ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราต้องรับกรรมและตามเช็ดกันต่อไปอย่างน้อย 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

1.Global  Inflation หรือเงินเฟ้อทั่วโลก
2.Financial  Instability  หรือความสั่นคลอนทางการเงิน
3.Wealth Inequality คือความรู้ทำให้ช่องว่างของความรวยกับความจนมากขึ้น และ
4. Long -Term Burden โครงสร้างประชากรโลกเปลี่ยนไป กลายเป็นพวกเราต้องแบกภาระ ในอนาคตเด็กรุ่นต่อไปต้องแบกภาระสูงขึ้น เพราะสัดส่วนการพึ่งพิงจาก 7 ต่อ 1 เปลี่ยนมาเป็น 4 ต่อ 1
องค์กรธุรกิจ ยุคหลังสังคมฐานความรู้

“เพราะ ฉะนั้น เป็นสิ่งที่พวกเราต้องรับรู้และเข้าใจ และสิ่งต่างๆ เหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทิศทางการปรับตัวที่ทำให้โลกมันดีขึ้น จากเดิมที่เราไปเน้นการเห็นแก่ตัวมาสู่จิตสาธารณะมากขึ้น จากเดิมที่มองทุกอย่างอยู่ในโครงสร้างลำดับชั้น มาสู่โครงสร้างที่เป็นเน็ตเวิร์ก ทำให้คนนั้นอยากแสดงออกผ่านอินเทอร์เน็ต บริการช่องทางต่างๆ มากขึ้น"ดร.สุวิทย์ย้ำ

ขณะเดียวกันสังคมที่ เดิมนั้นอยู่ใน Industrial  Society มาสู่ Knowledge Based Society และปัจจุบันที่เรากำลังก้าวสู่   Post Knowledge Based Society อย่างสมบูรณ์  ซึ่งสิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีก 9 ประการสำคัญที่จะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนจาก Knowledge Based Society ไปสู่ Post Knowledge Based Society ซึ่งจะมีผลต่อวิถีการทำงาน แนวคิด แนวปฏิบัติ หรือแม้แต่วิถีชีวิตเรา

ในความเป็นจริงแล้ว  วงการซอฟต์แวร์ได้มาสู่เทรนด์นี้ในหลายมิติแล้ว นั่นก็คือการแทนที่จะมองตัวเองเป็นหลักเพื่อให้อยู่รอด(Survival) กลายเป็นมองเรื่องของการสนับสนุน (Sustainability) จากการที่มองวัตถุนิยม  เป็นทุนนิยมที่เน้นตลาดมาสู่ทุนนิยมที่เริ่มเห็นแก่สังคมมากขึ้น Opensource Software, Opensource Education ล้วนแล้วแต่มาสู่เทรนด์นี้แล้ว จากเดิมที่คิดว่าใครเร็ว ใครอยู่รอด มาสู่การแบ่งปันและดูแลซึ่งกันและกัน (Share & Care)

เดิมที่เราคิดว่าอินเทอร์เน็ตนั้นทำให้การสื่อ สารเป็น Many to Many แต่แค่นี้ไม่พอแล้ว ปัจจุบันโลกจะอยู่ด้วยกันได้เราจะต้องมี Mind to Mind เพราะฉะนั้นหลายๆ อย่างของโลกเปลี่ยนจาก Close 2 Close  มาสู่ Open 2 Open มากขึ้น   จากเดิม "ตัวกูของกู "ใครลงทุนใครก็ต้องได้ เป็น Private Investment มาสู่ Citizen Investment มากขึ้น 

จากภูมิปัญญาที่เรามองว่าเป็น Intellectual Property มาสู่ภูมิปัญญามหาชน(Wisdom of the Crowd)มากขึ้น นี่คือเทรนด์ต่างๆ ไม่มากก็น้อยที่กำลังขับเคลื่อนไปสู่ทิศทางนี้แล้ว

คำถามคือ เมื่อกระบวนทัศน์ของโลกเปลี่ยน รูปแบบของการดำเนินของเราในฐานะที่เราทำธุรกิจอยู่ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วยอย่างไร?

ดร.สุ วิทย์บอกว่า อยากให้มองไกลออกไปเราจะเห็นว่าโลกได้เปลี่ยนโครงสร้าง โครงสร้างของการเปลี่ยนแปลงนั้น พลังขับเคลื่อนสำคัญคือเรื่องของกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งเปลี่ยนจากความสัมพันธ์จากแนวตั้ง(Vertical Tied up)กลายเป็นความสัมพันธ์ในแนวตั้งลดน้อยถอยลง เกิดความสัมพันธ์ใหม่เป็นความสัมพันธ์ในแนวนอน(Horizontal Tied up)ระหว่างรัฐต่อรัฐ เอกชนกับเอกชน และความสัมพันธ์ของภาคประชาชนด้วยกันในรูปแบบต่างๆ รวมถึง Social Networking ด้วย

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ถ้าเรามองในมิติของการทำธุรกิจ การสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือ Value Creation ก็เปลี่ยนไปด้วย นั่นคือ แพลตฟอร์มที่เราจะมาสร้างคุณค่าด้วยกันไม่ได้ถูกจำกัดอีกต่อไปแล้วว่าจะ ต้องอยู่ใน In-In คือ อยู่ในประเทศ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในลักษณะส่งออก In-Out หรือ บิซิเนส โพรเซส เอาท์ซอร์สซิ่ง Out-In เข้ามา แต่พวกเราอาจจะต้องไปต่อสู้บนเวทีโลกแล้ว หรือ Out-Out เพราะจะไม่มีสัญชาติอีกต่อไปในเรื่องของธุรกิจ

เพราะฉะนั้น  เราจำเป็นต้องมีความพร้อมในเรื่องของการที่จะตั้งรับและรุกในทั้ง 4 แพลตฟอร์มพร้อมๆ กัน

อย่าง ไรก็ดี  ถ้ามองในเชิง Communication Platform นั้นโลกได้เปลี่ยนไป จากใครทำใครก็ได้ในรูปแบบ Close 2 Close ขณะนี้มุ่งไปสู่ Close to Open, Open 2 Close และตอนนี้เริ่มไปสู่ Open 2 Open โดยโอเพ่นซอร์สเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของสิ่งเหล่านี้แล้ว

"เพราะ ฉะนั้นต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงว่าเราจะไปสู่จุดนี้ได้อย่างไร จำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่าโลกไม่ได้เป็นเวอร์ชวล(Vertual) และโลกไม่ได้เป็นฟิซิคอล(Physical) แต่สองสิ่งนี้เหมือนอยู่คนละด้านของเหรียญแล้ว มันต้องอยู่ด้วยกันอย่างไร ในโลกของที่เป็นฟิซิคอล คือโลกที่เป็นฟิซิคอลโปรดักต์และเฟสอยู่ด้วยกัน แต่ในโลกเวอร์ชวล คือฟิซิคอลโปรดักต์และเฟสนั้นอยู่ด้วยกัน เราจะทำให้บรรลุผลสำเร็จตรงส่วนนี้อย่างไร"ผู้เชี่ยวชาญการตลาดเปรียบเทียบ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น   


 Key Successธุรกิจยุคหน้า

ทั้ง นี้ ดร.สุวิทย์ได้เสนอแนะถึงปัจจัยที่จะนำสู่ความสำเร็จ( Key Success Factor) สำหรับภาคธุรกิจว่า การทำธุรกิจหลังจากนี้ไปเหมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจของเรา Attractive ,Productive,Competitive   และทำอย่างไรที่สร้างเครือข่ายกับคนอื่น ทำนองเดียวกันจะทำให้เวอร์ชวลสเปซ(Vertual Space)ของเราเชื่อมต่อกับคนอื่นในทิศทางที่เกิดพลังในเชิงแมส เกิดความมั่งคั่งร่วมกัน
เพราะฉะนั้น  เรากำลังพูดถึง Collective Forces และทั้งสอง Forces นี้คอมพลิเมนท์กัน แต่อยู่ที่เราสามารถทำให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่เราต้องมาช่วยกันคิดว่าบนสองแพลตฟอร์มใหม่เราจะทำอย่าง ไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในเชิง Value Creation

ดร.สุวิทย์เสนอว่า Value Creation Process เป็นกระบวนการที่เชื่อมกันอย่างมีพลัง เริ่มจากเรามีนวัตกรรมอะไร(Innovation Model) ที่เราจะนำเสนอออกมาแบบเป็นแผนหรือโครงการของเรา ต้องถอดออกมาให้เป็น Business Model ให้ได้ ให้นวัตกรรมที่คิดออกมามีประโยชน์และสามารถทำให้เป็นเชิงพาณิชย์ได้  
"และ ถ้าน่าสนใจ คุณไม่ต้องกลัวเรื่องของ Investment Model เลยเพราะจะมีคนมาลงกับคุณแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเวนเจอร์ แคป หรือใครต่อใคร และก็จะนำมาสู่ที่จะทำให้มันเกิดเป็น Operating Model"ดร.สุวิทย์วิเคราะห์
วงจร ของการสร้าง Value Creation บนโลกใบนี้หลังจากนี้ไป    บนโลกเปิดกว้างมากขึ้น มีพลวัตมากขึ้น มีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น  เมื่อโครงสร้าง (Architecture)เปลี่ยนภายใต้กระบวนทัศน์ที่เปลี่ยน สิ่งที่ตามมาก็คือ ธรรมนูญของการทำธุรกิจของพวกเราก็ต้องเปลี่ยนด้วย เพราะโลกเปลี่ยน  ไม่ได้เปลี่ยนในระดับแมคโคร   เพราะขณะนี้แมคโครและไมโครจะเชื่อมต่อกันจนกระทั่งแยกไม่ออก ทำให้เกิดการเปลี่ยนจาก Private Investor มาสู่ Citizen Investor อย่างสมบูรณ์    
ในทำนองเดียวกันเรื่องของนวัตกรรมปัจจุบันเกิด เรื่องของ Democratization of Innovation แล้ว จากเดิมที่เน้น Intellectual Property มาสู่ภูมิปัญญามหาชน

เรื่องของการบริโภค(Consumption)ใน โลกอดีตถ้าไม่มีกำลังซื้อ ไม่มีศักยภาพตรงนั้นไม่ใช่ตลาดของเรา   เพราะฉะนั้นคนยากจนไม่มีโอกาสที่จะใช้สินค้าที่เขาทำกัน   แต่จริงๆ วันนี้  คนเหล่านี้มีศักยภาพ  อยู่ที่ว่าเรากำหนดเซ็กเมนต์เขาอย่างไร   เพราะฉะนั้นจะนำมาสู่โอกาสทางธุรกิจ ปรับเปลี่ยนจาก Top ไปสู่ Bottom of the Pyramid

นี่คือเทรนด์ต่างๆ ของโลก เมื่อโลกเปิดกว้างมากขึ้น โอกาสทางธุรกิจมากขึ้น มันก็ดีขึ้นในทิศทางที่ทุกคนได้!!!

ข้อ เสนอแนะคือ เราจำเป็นต้องเข้าใจและรับรู้วัฒนธรรมใหม่ของสิ่งที่เรียกว่า Free Culture ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เริ่มให้ความสำคัญจากทางด้านดีมานด์ไซด์ และลดทางด้านซัพพลายไซด์ เป็นวัฒนธรรมที่ว่าด้วย Free to Take และ Free to Share เป็นวัฒนธรรมที่ภาษาของพวกซิลิคอน วัลเล่ย์ หรือสแตนฟอร์ดพูดกันว่า NEA โดย  N คือ Nobody Owns ไม่มีใครเป็นเจ้าของ  E - Everybody can use it ทุกคนสามารถใช้ได้ และA -Anybody can improve it ใครๆ ก็สามารถตรวจสอบได้

วันนี้ โลกได้เปลี่ยนไปแล้วในหลายส่วนมาสู่ส่วนนี้มากขึ้น นั่นคือจุดเน้นจากเดิมที่เป็นของเรามาสู่หลายพื้นที่ที่เป็นสาธารณะ  ซึ่งทุกคนสามารถแชร์เหมือนซอฟต์แวร์ อากาศ น้ำ ซึ่งซอฟต์แวร์ก็เป็นสิ่งที่เป็นปกติธรรมดาสำหรับทุกคนบน "โอเพ่น แพลตฟอร์ม" ดังนั้น ทุกคนจำเป็นต้องเริ่มทำความเข้าใจว่าการเป็น Power ทางด้านดีมานด์ไซด์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและโอกาสทางธุรกิจอีกมากมาย  เนื่องจากเดิมเรามองแต่ B2B, B2C แต่ตอนนี้เขามี C2C แล้วก็คือ Consumer to Consumer เล่นกันเองแล้ว ผ่านในเรื่องของ Social Technology ต่างๆ

แต่นั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องเข้าใจพฤติกรรมและโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อจะมาดูว่า จะมี Business Opportinity ได้อย่างไร

"สิ่ง ที่เกิดขึ้น  คือ ณ จุดนี้เป็นจุดที่ผมคิดว่าทุกคนต้องกลับมาคิดใหม่ ฟังใหม่ในธุรกิจของตนเอง เรายังเป็น Product Centric อยู่หรือไม่ หรือเราจะเป็น Customer Centric ตรงนี้มันเริ่มมีการพัฒนาการไปสู่ตอนนี้มันเกิด C2C Market เราอาจจะต้องมาดูว่าเราจะเป็น People Centric เหมือนกูเกิลไหม ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเราเป็นแพลตฟอร์ม โพวายเดอร์ เหมือนเราเป็นอินฟราสตรักเจอร์ โพรวายเดอร์ ไม่ใช่โซลูชัน โพรไวเดอร์อีกต่อไป"ดร.สุวิทย์พยายามอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับธุรกิจใน วันนี้

พร้อมกับเสนอว่า  ตัวการสำคัญที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดค้น Business Model ต่างๆ ที่จะตอบโจทย์ในอนาคต  แต่ถ้าคิดให้ตายโดยคิดถึงแต่ตัวเอง โดยไม่มองจริงๆ ว่า ลูกค้าเราเป็นใคร   เราก็จะ Work Hard อย่างเดียว แต่ไม่ Smart  ในที่สุดคนที่บอกว่าเราสอบได้หรือสอบตกก็คือ ผู้บริโภคนั้นเอง

ทั้ง นี้ เราสามารถดูความต้องการของคนมีไม่กี่อย่าง  เพราะว่าบางครั้งเราต้องการเปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งเราต้องการสิ่งที่มั่นใจ แล้วความต้องการหลายๆ อย่างเป็นความต้องการจากภายนอก และความต้องการที่จะติดต่อกับภายใน   เพราะฉะนั้นในแง่ของคน ความต้องการจึงหนีไม่พ้นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง การมีส่วนร่วม อิสระ  ซึ่งเมื่อดูในระดับองค์กรก็เป็นเหมือนกันคือ ต้องการการเติบโต มีส่วนร่วม แต่ในขณะเดียวกันก็ฟรีดอมและต้องการความเสี่ยงของตนเอง ฉะนั้นความต้องการเหล่านี้  เราต้องตีโจทย์ให้แตกความต้องการทั้งหลายนั้นแตกออกมามีได้กี่แบบ และเราจะหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงจากความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคนี้อย่าง ไร

"ทั้งหมด  ถ้าเราเข้าใจแล้วจะนำไปสู่การสร้าง Value Creation ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการธุรกิจจากนี้ไป เราทราบกันดีว่า การสร้าง Value Creation มีเคยพูดไว้มีอยู่ด้วยกัน 5 โมเดล ที่ทำน้อยแต่ได้เยอะ แต่ส่วนปลายน้ำคือส่วนที่ทำเยอะแต่ได้น้อย ฝรั่งนั้นเอาส่วนบนไปคือส่วนที่เรียกว่าเป็นบลูโอเชียน(ตลาดที่ยังมีผู้เล่น น้อยราย)  แล้วเขาให้เรดโอเชียนไปตีกันเองกับจีน เพราะฉะนั้นพวกเราจำเป็นต้องมีความกล้าว่าเราต้องขึ้นบนให้ได้ ถ้าขึ้นบนไม่ได้เราก็อยู่ได้แค่ตีนขอบของมาร์จิ้น"ดร.สุวิทย์กล่าว

5 โมเดลธุรกิจสร้าง Value Creation

โมเดลในการสร้าง Value Creation ให้ธุรกิจทั้ง 5 นั้น มีตัวอย่างของบริษัทที่ได้ทำไปแล้วประสบความสำเร็จ กล่าวคือ
- Innovation  Model ต่อไปทุกบริษัทไม่จำเป็นจะต้องทำ R&D ของตนเองเสมอไป เช่น  บริษัท P&G มีการทำโมเดลใหม่ชื่อ C&D (Connect & Develop) เขามองว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำคนเดียว แต่เขาสามารถ Care&Share กับคนอื่นได้ มีโปรเจ็กต์เปิดให้ภายนอกองค์กรเสนอนวัตกรรมเข้ามาได้ จากนี้ไปจะพบว่า เครื่องมือของนวัตกรรมจะมาจากข้างนอกไม่ได้จาก Individual Research อีกต่อไป

-Business Model เราจำเป็นต้องคิดใหม่ และใส่ใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง กรณีของ Grameen Bank ดำเนินธุรกิจตามแนวคิดที่ว่า "สินเชื่อทางการเงินเป็นหนึ่งในสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน" ดังนั้น ธนาคารจึงพัฒนาระบบที่ปล่อยเงินกู้ใด้แม้ในผู้ที่ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน   ธนาคารไม่ได้ปล่อยสินเชื่อโดยประเมินจากราคาสินทรัพย์ของผู้กู้ แต่พิจารณาจากศักยภาพของพวกเขา นั่นหมายความว่าในขณะที่ธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิมประเมินสินเชื่อจากราคา สินทรัพย์ที่ได้รับมา แต่ Grameen Bank ประเมินจากศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในแต่ละบุคคล
-Investment Model ตัวอย่างในธุรกิจช็อกโกแลต มีช่องว่างด้านรายได้ระหว่างผู้ปลูกโกโก้ในอาฟริกาและโรงงานผู้ผลิตในยุโรป ตะวันตก บริษัทช็อกโกแลตอังกฤษ Divine Chocolate เสนอไอเดียให้ผู้ผลิตโกโก้ในสหกรณ์กัวปาโกกู  ประเทศกาน่า ซึ่งมีสมาชิกผู้ปลูกโกโก้อยู่ราว 45,000 คน ให้ถือหุ้นบริษัทได้ 45% และมีตำแหน่งในบอร์ดบริษัทด้วย ซึ่งทำให้รายได้ในปี 2006 สูงถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2007 บริษัทขยายสาขาในอเมริกาโดยสหกรณ์นี้ก็เข้าถือหุ้น 33%
ดร.สุวิทย์บอก ว่า มีหลายอย่างที่ต้องคิดใหม่ ในเรื่องของ Value Chain ว่าเราอยู่ใน"กับดัก"ซึ่งก็ยังคิดอยู่ในกับดักของโครงสร้างเดิมๆ แต่ในโลกของเน็ตเวิร์กนั้นก็ต้องเป็น Investment Network ด้วย

-Operation Model ก็ทำนองเดียวกัน  ที่เป็นรูปธรรมคือกรณีของ Wikipedia (วิกีพีเดีย)ซึ่งเป็นตัวอย่างของการมีพลัง มี Mind Set บนโอเพ่น แพลตฟอร์ม วิกิพีเดียเป็นสารานุกรมออนไลน์ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปเพิ่มเติมแก้ไข คอนเท็นต์ข้อความได้เป็น User Generated ความสำเร็จของวิกิจึงเกิดจากกลุ่มคนที่มีความรู้และนักเขียนซึ่งเข้าใจว่า อะไรคือสารานุกรมที่ดีที่ควรจะเป็น ซึ่งผสานกับเสิร์ชเอนจิ้นอย่างกูเกิลด้วยจึงช่วยให้วิกิพีเดียสยายเครือ ข่ายออกไปอีก
-Profit Model ก็เช่นกันเราต้องเปลี่ยนไปจากเดิม  เราคิดว่าเราทำ  เราต้องได้ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่ายิ่งเราเปิดเราต้องได้  กรณีตัวอย่างธุรกิจที่ใช้โมเดลนี้ Second Life ที่สร้างโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้มีโลกที่สอง หรือโลกไซเบอร์ที่คู่ขนานกับโลกแห่งความจริง เพราะชีวิตจริงถูกจำกัดด้วยกฏเกณฑ์ กฏหมาย และบทบาทหน้าที่ตามสังคมและจริยธรรม  Second Life
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในโลกที่สองจำเป็นต้องจ่ายเพื่อทุกสิ่ง รวมถึงเสื้อผ้า บ้าน ที่ดิน บริการ หรือแม้แต่อวัยวะ (ในโลกไซเบอร์) และระบบทางการเงิน (หน่วยเป็น Linden Dollar) มีการซื้อขายโดยใช้เงินจากโลกแห่งความจริง นั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจชิ้นใหญ่  ผู้เล่นแต่ละคนสามารถสร้างธุรกิจด้วยตัวเองได้ใน Second Life
ความ สำเร็จของโลกแห่งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เล่น ยิ่งผู้เล่นมากเท่าไร โอกาสทางธุรกิจใน Second Life ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ส่วนรายรับจากโลกแห่งนี้มาจากค่าธรรมเนียมในการใช้บริการแอพพลิเคชั่นต่างๆ และจากการขาย Linden Dollars   

กฎของผู้ประกอบการ

1. มีความสุขกับครอบครัว มิตรสหาย และเพื่อนร่วมงานของคุณก่อนที่พวกเขาจะจากไป

2. เล่นเพื่อเอาชนะ

3. เคารพในสิ่งสัมบูรณ์

4. ทำทุกอย่างให้กระชับ

5. เรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง

6. เป็นผู้ประกอบการด้วยเหตุผลที่ถูก

7. อย่าวิตก

8. เน้นที่การลงมือปฏิบัติ

9. อย่าขอให้คนทำอะไรในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ

10. อ้าแขนรับในสิ่งที่คุณไม่รู้

" การเรียนรู้ธุรกิจนั้น จะต้องเรียนรู้จากวิธีคิดของคนอื่่นแล้วนำมาสังเคราะห์ เป็นวิธีการของตนเอง และอย่าเพียงแต่อ่านอย่างเดียว แต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วยถึงจะบรรลุผลที่วางไว้ "

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

5 ข้อทำให้แบรนด์สินค้าดัง



การสร้างแบรนด์สินค้าให้ติดตลาดเปรียบเสมือนเป็นทางลัดในการดำเนินธุรกิจให้ ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้ประกอบการทุกคนจะต้องศึกษาและสร้างให้เกิดขึ้นจริงกับธุรกิจของตนเอง ให้จงได้

จุดมุ่งหมายสูงสุดของการประกอบธุรกิจโดยเฉพาะในเรื่องที่มีความเกี่ยว ข้องและเชื่อมโยงกับการขายสินค้าคงเห็นจะหนีไม่พ้นในเรื่องของยอดขายและผล กำไรที่ได้รับ ซึ่งทุกๆบริษัทต่างหวังผลและนำเรื่องดังกล่าวมาวางเป็นเป้าหมายหลักที่ต้อง ดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้ จึงกลายเป็นที่มาของการคิดค้นสร้างสรรค์แผนธุรกิจที่หลากหลายผสานกับการวาง กลยุทธ์ที่สลับซับซ้อนและแยบยลมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีต
โดยหนึ่งในวิธีการที่จะช่วยทำให้ธุรกิจที่ดำเนินงานเกี่ยวข้องกับการค้า ขายสินค้าสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งบรรลุวัตถุประสงค์ ในเรื่องของยอดขายและการทำกำไรก็คือ ‘การทำให้แบรนด์สินค้าติดตลาด’ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องดึงเอากลยุทธ์วิธีการอื่นๆเข้ามาช่วยส่งเสริมด้วย อย่าได้หวังพึ่งจากการกระหน่ำยิงสปอตโฆษณาแต่เพียงอย่างเดียว โดยวิธีการและองค์ประกอบหลักๆที่จะช่วยให้แบรนด์สินค้าของผู้ประกอบการ สามารถติดตลาดได้อย่างรวดเร็วที่สำคัญๆมีดังต่อไปนี้

ผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณภาพดีจริง

ถ้่าจะให้แบรนด์สินค้าของผู้ประกอบการสามารถติดตลาดได้อย่างรวดเร็วคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์คือสิ่งแรกสุดที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะสิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่สุดที่ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ จากการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทผู้ประกอบการ ถ้าในทรรศนะของผู้บริโภคมีความเห็นว่ามันมีคุณสมบัติที่ดีสามารถตอบสนองกับ ความต้องการเบื้องต้นของเขาได้จริง ตัวผลิตภัณฑ์จะได้รับการบอกต่อด้วยวิธีปากต่อปากไปสู่กลุ่มผู้บริโภคท่าน อื่นๆเอง โดยเป็นหนึ่งในวิธีการประชาสัมพันธ์สินค้าที่มีทรงอิทธิพลมากที่สุดและไม่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว จึงเป็นวิธีการในตำนานที่นักการตลาดทุกคนต่างใฝ่ฝันถึง ผู้ประกอบการจึงต้องเอาใจใส่และมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองให้ดีเสียก่อน เป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการเสริมสร้างจุดแข็งที่มีที่มาจากคุณสมบัติที่มีเหนือกว่าของ บริษัทคู่แข่งพร้อมทั้งลดจุดอ่อนลงไปในเวลาเดียวกันด้วย ถ้าผู้ประกอบการสามารถทำตรงส่วนนี้ได้สำเร็จแบรนด์สินค้าของท่านก็จะสามารถ ติดตลาดได้อย่างรวดเร็วแน่นอน

สร้างเอกลักษณ์โดดเด่นของสินค้า


ความโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครของผลิตภัณฑ์ถือเป็นสิ่งเร้า อันดับแรกๆที่สร้างกระบวนการรับรู้จนพัฒนาไปสู่การจดจำในจิตใจของผู้บริโภค ได้เป็นอย่างดี เพราะผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดทั่วๆไปมีลักษณะที่ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกันไปเสีย ทั้งหมด ถ้าผู้ประกอบการสามารถฉีกแนวและสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับผลิตภัณฑ์ของ ท่านเองได้ จะมีส่วนช่วยดึงความสนใจมาจากผู้บริโภคได้ทันทีและนำไปสู่การพิจารณาเลือก ซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการได้ในที่สุด นอกจากนี้ถ้าผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆเข้า จะทำให้ผู้บริโภคหันมาเรียกชื่อแบรนด์ของสินค้าแทนที่ชื่อประเภทสินค้าไปโดย ปริยาย เช่น คนไทยมักจะเรียกชื่อประเภทสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า มาม่า เป็นต้น จึงเป็นวิธีการทำให้แบรนด์ของสินค้าติดตลาดที่น่าสนใจมาก

ใช้เครื่องมือทางการตลาด

การลด แลก แจก แถม จัดโปรโมชั่นพร้อมทั้งส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาตั้งแต่อดีต เพราะทั้งหมดนี้สามารถเรียกร้องความสนใจจากตัวผู้บริโภคได้โดยทันทีเพราะถูก ประยุกต์ให้เหมาะสมและเข้ากันได้ดีกับนิสัยของคนที่ชอบของราคาประหยัดและของ สมมานาคุณ ถ้าผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการจัดแคมเปญโปรโมชั่นที่ให้ข้อเสนอที่ดีกว่าของ คู่แข่ง ผู้บริโภคก็ไหลมาเลือกซื้อสินค้าของทางผู้ประกอบการได้ง่าย ซึ่งในที่สุดจะได้รับการบอกต่อในหมู่้ผู้บริโภคจนทำให้แบรนด์สินค้าสามารถ ติดตลาดได้จึงเป็นแนวทางที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ขอให้ผู้ประกอบการพึงระวังไว้หนึ่งอย่างคือการจัดแคมเปญโปรโมชั่นประเภท ลด แลก แจก แถม ถึงแม้จะได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก แต่ก็ควรคำนึงถึงต้นทุนและผลกำไรที่จะได้รับในตอนท้ายด้วยว่ามันมีความคุ้ม ค่ามากขนาดไหน นอกจากนี้ก็ต้องจัดแคมเปญให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจและแคมเปญอื่นๆ ของทางบริษัทด้วย

โฆษณาในทุกสื่อที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันผู้บริโภคมีความฉลาดมากขึ้นและมีตัวเลือกในการเลือก ซื้อสินค้ามากกว่าในอดีตที่ผ่านมา โฆษณาจึงมิใช่อาวุธหลักที่น่าสนใจในการทำให้แบรนด์ของสินค้าติดตลาดเหมือน เช่นดังแต่ก่อนที่สามารถใช้โฆษณายัดเยียดให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้โดยทันที แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้อีกเหมือนกันว่าโฆษณาจะไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้ ประกอบการได้อีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าพูดถึงในเรื่องของการสร้างการรับรู้หรือแจ้งข่าวสารที่มีสาระสำคัญ แล้วเจ้าตัวโฆษณาไม่เคยทำในส่วนนี้บกพร่องเลยแม้แต่ครั้งเดียว โฆษณาจึงยังคงมีประโยชน์และอิทธิพลอย่างมากต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค แต่ประเด็นคือจะใช้การโฆษณาอย่างไรให้เหมาะสมมากที่สุดเพราะผู้บริโภคมี ลักษณะหลายๆอย่างที่แตกต่างออกไปจากในอดีต ซึ่งแนวทางการโฆษณา่ที่ดีและน่าจะเหมาะสมมากที่สุดในยุคนี้ขอแนะนำให้ผู้ ประกอบการลดความถี่ในการยิงสปอตโฆษณาผ่านทางสื่อหลักทั้งโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ลงสักสักนิดนึง และหันไปให้ความสนใจในเรื่องของคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยนอกจากนี้ควรให้ความสนใจในสื่อทางเลือกกระแสอื่นๆ อย่างเช่น การทำโฆษณาทางอินเตอร์เน็ตและบนโลกสังคม Social Media เป็นต้น ซึ่งการทำโฆษณาผ่านสื่อที่คลอบคลุมจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงและจดจำแบ รนด์สินค้าได้ดีกว่าการเล่นผ่านสื่อกระแสหลักแต่เพียงอย่างเดียว

ตอบแทนสังคมบ้าง

ปัจจุบันกระแสของการตอบแทนและอุทิศตนเพื่อสังคมเป็นสิ่งที่ได้รับการ ยกย่องเชิดชูมากในขณะนี้ บริษัทของผู้ประกอบการควรจะจัดกิจกรรมดีๆอย่างน้อยสักหนึ่งอย่างเพื่อเป็น การตอบแทนและคืนกำไรกลับมาสู่สังคม อาทิ แจกทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ นำสินค้าออกประมูลเพื่อช่วยเหลือบุคคลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเป็นผู้ให้การสนับสนุนหลักในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง เช่น บริษัทเครือซีเมนต์ไทยที่ให้การสนับสนุนนักกีฬาแบดมินตันมาโดยตลอด เป็นต้น ซึ่งการจัดงานและกิจกรรมเพื่อสังคมนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจดจำแบรนด์ สินค้าของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดีและยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การทำ ธุรกิจให้สูงขึ้นด้วย แต่ควรจะจำไว้ว่าการทำกิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทผู้ประกอบการจะต้องกระทำลง ไปด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่าได้มีจุดประสงค์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องผลประโยชน์ แอบแฝงโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะทำให้ธุรกิจของผู้ประกอบการดูแย่ในสายตาผู้บริโภคโดยทันที
การมีแบรนด์สินค้าที่ติดตลาดถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในการทำธุรกิจ สมัยใหม่ เพราะนอกเหนือจากจะทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถสร้างยอดขายและทำกำไรได้มากแล้วยัง มีส่วนช่วยให้การทำธุรกิจมีความสะดวกสบายและลดอุปสรรคปัญหาต่างๆลงไปได้ค่อน ข้างมาก นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังสามารถเป็นผู้ชี้นิ้วกำหนดทิศทางความเป็นมาเป็นไป ของตลาดที่แบรนด์สินค้าของท่านเป็นผู้นำได้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งแบรนด์สินค้าของผู้ประกอบการติดตลาดและเป็นผู้นำในตลาดที่ ลงแข่งขันได้มากเท่าไหร่ ผู้ประกอบการก็สามารถบังคับกลไกตลาดให้เข้ามาเอื้อประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ ของตนเองมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ใช้อีเมล์เพื่อส่งเสริมธุรกิจอย่างถูกวิธี


อีเมล์เป็นหนึ่งในเครื่องมือการทำธุรกิจที่ง่ายดายที่สุดในปัจจุบัน การเรียนรู้เทคนิคเชิงลึกของการทำตลาดด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการ สร้างความแตกต่างและได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจในการดำเนินธุรกิจ

การทำธุรกิจในสังคมยุคเวิลด์ไวด์เว็บ ‘อีเมล์’ หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จัดเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากของผู้ประกอบการและ นักการตลาด เพราะเจ้าสิ่งนี้มีประโยชน์นานัปการและสามารถส่งเสริมวิธีการทำธุรกิจให้ ง่ายดายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อีเมล์จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกำลังคืบคลานเข้ามาแทนที่วิธีการขาย ตรงผ่านทางการส่งจดหมายที่ติดตราอากรสแตมป์ในไม่ช้า ผู้ประกอบการหลายรายเข้าใจผิด และหว่านส่งอีเมล์ไปแบบไร้ซึ่งจุดประสงค์และศิลปะในการสื่อสาร จึงทำให้อีเมล์เหล่านั้นกลายเป็นขยะบนโลกออนไลน์และสร้างความน่ารำคาญให้ผู้ คนส่วนใหญ่เป็นจำนวนมาก การจะใช้อีเมล์ทำธุรกิจให้ประสบผลสัมฤทธิ์ในยุคปัจจุบันจึงต้องอาศัยเทคนิค บวกกับศิลปะการสื่อสารมากขึ้นกว่าในอดีตที่ใช้เนื้อหาเป็นตัวนำแต่เพียง อย่างเดียว โดยเทคนิควิธีการใช้อีเมล์เพื่อการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมีเคล็ดลับ ง่ายๆดังต่อไปนี้

ต้องรู้กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน

ถ้าจะใช้อีเมล์ในการทำธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ ผู้ประกอบการต้องรู้กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ชัดเจนของตนเองเสียก่อน เพราะจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการสามารถสื่อสารได้ตรงกับกลุ่มลูกค้าของตนเองมาก ที่สุด ซึ่งจะทำให้ได้รับปฎิกิริยาตอบกลับมาในเวลาที่รวดเร็วจนนำไปสู่การตัดสินใจ ซื้อสินค้าในขั้นตอนสุดท้ายและจะถือว่าเป็นการปิดการขายโดยสมบูรณ์แบบอย่าง แท้จริง โดยที่อยู่อีเมล์ของลูกค้าสามารถหาได้จากฐานข้อมูลสมาชิกของบริษัทผู้ประกอบ การหรือแบบสำรวจต่างๆที่ได้จัดทำขึ้น ซึ่งปัจจุบันการหาข้อมูลประวัติของผู้บริโภคไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไร สำคัญที่ว่าผู้ประกอบการต้องเลือกอีเมลล์ให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพียง เท่านั้นเอง และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงและผู้ประกอบการห้ามทำเป็นอันขาดก็คือการส่งอีเมล์ ในลักษณะทิ้งระเบิดเพราะนอกจากจะทำให้คนอื่นรำคาญแล้ว อีเมล์ของท่านยังถูกแจ้งเป็นสแปมอีกต่างหาก ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหลุดจากแบล็กลิสต์ดังกล่าวได้

ใส่หัวข้อเรื่องที่น่าสนใจจากผู้ส่งที่น่าเชื่อถือ

สิ่งที่เป็นตัวตัดสินอย่างหนึ่งว่าลูกค้าจะเปิดอ่านอีเมล์ของคุณหรือไม่ นั่นก็คือการใส่หัวข้อเรื่องและผู้ส่ง เพราะโดยปกติผู้บริโภคจะสนใจเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเองเท่านั้น หากเรื่องไหนไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีความสนใจก็ลืมไปได้เลยที่พวกเขาจะมาเปิด อ่าน ดังนั้นการตั้งชื่อหัวข้อเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยหากผลิตภัณฑ์หรือบริการของท่านมีชื่อเสียงก็ขอแนะนำให้ใส่ชื่อกำกับลงไป ในหัวข้อด้วย เช่น ชุดผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อความขาวบริสุทธิ์จากชาเนลได้มาถึงแล้ว เป็นต้น

เล่นคำกับแคมเปญให้น่าดึงดูด

การสร้างจุดเด่นให้กับตัวข้อความเนื้อหาในอีเมลล์จัดเป็นสิ่งเร้าที่ ประสบความสำเร็จมาก เพราะสามารถเรียกความสนใจจากลูกค้าได้โดยทันที เช่น น้ำหอมลาฟลอร่า ลด 50% หมู่บ้านนิสรากร เริ่มต้นที่7ล้าน เป็นต้น การเล่นคำตัวอักษรให้มีขนาดที่ใหญ่กว่าปกตินี้จะช่วยทำให้ลูกค้ามองเห็นถึง สิ่งพิเศษที่ผู้ประกอบการต้องการจะนำเสนอออกมาได้อย่างโดดเด่นและโดยทันที จึงเหมาะกับการขายสินค้าที่ต้องการสร้างยอดขายอย่างรวดเร็ว จัดองค์ประกอบการนำเสนอให้มีสเน่ห์ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะไม่อยากอ่านข้อมูลเป็นจำนวนมากๆอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้มีแต่ภาพประกอบและให้ข้อมูลน้อยเกินไป อีเมล์ดังกล่าวก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยในการโน้มน้าวการตัดสินใจของ ลูกค้า ดังนั้นผู้ประกอบการต้องออกแบบจัดองค์ประกอบในอีเมล์ทั้งในส่วนของเนื้อหา และภาพประกอบให้สามารถไปด้วยกันได้อย่างลงตัวมากที่สุด โดยเน้นที่ความสะอาดตาและรูปแบบลักษณะที่สามารถอ่านได้ง่ายเป็นหลัก พยายามออกแบบโดยไม่ต้องกดเลื่อนหน้าจอลงมา อีเมล์ที่ดีต้องสามารถทำให้ลูกค้าเข้าใจความหมายได้ด้วยการคลิ๊กเปิดอ่าน เพียงแค่ครั้งเดียวโดยไม่ต้องใช้เม้าท์คลิ๊กเลื่อนหน้าจอลงไปอ่านข้อความ หรือดูภาพประกอบด้านล่างอีก เพราะอาจจะทำให้เสียโอกาส หากลูกค้าไม่เลื่อนลงมาดู

ช่องทางการติดต่อกลับคือสิ่งที่ไม่ควรขาด

มีข้อผิดพลาดที่ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจะเกิดขึ้นได้แต่ก็ได้เกิดขึ้น แล้วสำหรับการใช้อีเมล์ทำธุรกิจ นั่นก็คือ การลืมให้ข้อมูลรายละเอียดในการติดต่อกลับ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีอยู่บ้างเหมือนกันประเภทที่ว่าองค์ประกอบทุกอย่างครบ ถ้วนจนสามารถทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจอยากได้สินค้าขึ้นมาจริงๆ แต่ก็ต้องมาสะดุดตรงที่ว่าหาข้อมูลในส่วนของการติดต่อกลับไม่เจอจึงต้องพลาด โอกาสในการขายของไป ซึ่งถึงแม้ข้อมูลการติดต่อจะแจ้งให้ลูกค้าทราบอยู่แล้วในส่วนของรายละเอียด ผู้ส่งอีเมล์แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะใส่รายละเอียดลงในเนื้อหาภายในอีเมล์ด้วย

เลือกเวลาที่เหมาะสมในการส่ง

ถึงแม้อีเมล์จะมีความสะดวกสบายในการส่งข้อความที่สามารถส่งได้ทุกที่และ ที่สำคัญคือทุกเวลา แต่นั่นเป็นเพียงแค่ในมุมมองจากฝ่ายของผู้ส่งเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงผู้รับไม่ได้มีความพร้อมที่จะรับและเปิดอีเมลล์อ่านตลอด เวลาเหมือนผู้ส่ง ดังนั้นเวลาจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากที่ผู้ประกอบการทุกคนควรเอาใจใส่ โดยจากการประมวลและสอบถามผู้เชี่ยวชาญในการทำ E-mail Marketing แล้วพบว่าช่วงเวลาที่ควรทำการหลีกเลี่ยงการส่งอีเมลล์ไปให้ผู้บริโภคมากที่ สุด คือ วันจันทร์ในช่วงเช้าเพราะจะมีจดหมายเข้ามาในกล่อง inbox เป็นจำนวนมากและเป็นช่วงเวลาแรกของการเปิดทำงานอีกครั้งหลังจากวันหยุดจึง เป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่มีการติดต่อกันเรื่องงานวุ่นวายมากจนลูกค้าไม่มี เวลาอ่านอีเมล์ของท่านอย่างแน่นอน และอีกช่วงเวลาหนึ่งคือตั้งแต่เวลาบ่ายวันศุกร์ยาวจนไปถึงวันหยุดเสาร์และ อาทิตย์ก็ไม่ควรส่งโดยเด็ดขาด เพราะช่วงเวลาดังกล่าวลูกค้าของผู้ประกอบการจะเลิกเช็คอีเมลล์และเตรียมตัว เดินทางกลับบ้านหรือไปต่างจังหวัดเพื่อพักผ่อนแล้ว

จัดทำ A/B Split Test

การทดสอบด้วยวิธีการ A/B Split Test ถือว่าทำได้ง่ายมากที่สุด โดยวิธีการคือให้ผู้ประกอบการสร้างอีเมล์ในหัวข้อเรื่องเดียวกันออกมา 2 ชุดให้มีความแตกต่างกันโดยยึดหลักการออกแบบตามที่ได้เสนอไปแล้วด้านบน จากนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบและคัดเลือกรูปแบบอีเมล์ที่ผู้ประกอบการเห็นว่า เหมาะสมมากที่สุด แล้วจึงนำอีเมล์ดังกล่าวเป็นต้นฉบับส่งไปให้ลูกค้าต่อไปเป็นอันเสร็จครบถ้วน ในทุกขั้นตอน
การส่งเสริมการทำธุรกิจผ่าน E – mail Marketing เป็นตัวขับเคลื่อนในยุคปัจจุบันต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเริ่มจะมีภาพ ลักษณ์ในมุมลบออกมาให้เห็นกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากความน่าเชื่อถือบวกกับผู้ประกอบการนำอีเมล์มาใช้ อย่างขาดศิลปะ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเสียใหม่โดยประยุกต์การใช้อี เมลล์ในการทำธุรกิจให้มีศิลปะมากขึ้นในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ขายของแบบ ฮาร์ดเซลล์จนเกินไป จึงจะทำให้อีเมล์สามารถช่วยสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจได้และพัฒนาเป็นช่อง ทางนำพาเงินเข้าสู่กระเป๋าของผู้ประกอบการในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 ช่องทางในการทำตลาดผ่านเว็บ


1.Google Adwords
บริการของ Google Adwords อยู่ในรูปแบบของ PPC (Pay Per Click) หรือการจ่ายเงินเมื่อมีการคลิ๊กเข้าไปดูโฆษณาของเราเท่านั้น ถ้าไม่มีคนคลิ๊กโฆษณาเราก็ไม่เสียเงินใดๆทั้งสิ้น ทำให้ผู้ที่คลิ๊กเข้าไปนั้น ต้องสนใจสินค้าหรือบริการของเราแน่นอน ถึงจะอ่านข้อความโฆษณาของเราแล้วคลิ๊กเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ โฆษณาจะขึ้นแสดงอยู่ทางด้านขวาของผลการค้นหา หรือที่เรียกว่า Sponser Link (Link ของผู้สนันสนุน) ในปัจจุบัน Google Adwords สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกแต่ละจังหวัดได้แล้ว เราสามารถกำหนดการแสดงผลของโฆษณาให้อยู่ที่ กรุงเทพ หรือ นครราชสีมา ได้อีกทั้งยังสามารถกำหนดเวลาการแสดงผลได้อีกด้วย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีสุดๆ

2.รูปแบบ PPC อื่นๆ นอกจาก Google Adwords
นอกจาก Google ในไทยก็จะมี BumQ และ AdYim ค่าโฆษณาก็จะถูกลงมาหน่อย อาจจะคลิ๊กละ 1 บาทหรือ 2 บาท แต่ประสิทธิภาพในการเข้าถึงเป้าหมายก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ในการทำโฆษณารูปแบบ PPC ในประเทศไทย โฆษณาก็จะแสดงผลในเว็บไซต์ที่เป็นพันธมิตรของผู้ให้บริการอย่าง BumQ และ AdYim ซึ่งจะนำข้อความโฆษณาหรือ Banner ของเราไปติดลงในเว็บไซต์พันธมิตรนั้นเองครับ

3.Banner
ลงโฆษณาโดยใช้ Banner ไปลงโฆษณาตามเว็บต่างๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายของเรา เช่น เว็บที่คุยเรื่องการท่องเที่ยวต่างๆ

4.Social Network
การทำการตลาดรูปแบบของ Social Network ปัจจุบันการทำโฆษณาในลักษณะนี้ สามารถเข้าถึงผู้คนได้หลากหลาย Social Network ก็คือ สังคมออนไลน์ เช่น Twistter, Facebook และอื่นๆ โดยทั่วๆไปแล้ว การทำโฆษณาลักษณะนี้นิยมใช้ในการสร้างแบรนเนม อิทธิพลของ Social Network จะทำให้เกิดการบอกกันบากต่อปากของผู้พบเห็น เราเรียกว่า Viral Marketing หรือการตลาดที่แพร่หลายเหมือนไวรัส นั้นเองครับ ซึ่งจะทำให้มีคนรู้จักหรือพบเห็นบริการของเราได้เองโดยอัตโนมัติจนเกิดแบรน เนมขึ้นมานั้นเอง

5.Blog Marketing ,Web Marketing (ทำเว็บไซต์เอง)
การสร้าง Blog จากของฟรีๆ อย่างเช่น Blogger Blog เป็นระบบที่สามารถติดต่อกันระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านผ่านระบบ Comment จึงสามารถเกิดสังคมออนไลน์ขนาดย่อมได้ เราอาจจะเขียนเรื่องที่ตัวเองสนใจและใส่ Banner โฆษณาลงไปใน Blog ก็เป็นหนทางที่ดีไม่ใช่น้อยเลยที่จะสามารถทำการตลาดได้


6.Video Marketing
ทำโดยการเผยแพร่กิจกรรมต่างที่จะนำเสนอในรูปแบบของไฟล์วีดีโอผ่านทาง Internet
แผนการตลาดผ่าน Youtube จุดมุ่งหมาย คือ อิมเมจ ภาพลักษณ์ และ แบรนด์สินค้า (บริการ)

7.Email Marketing
Email Marketing ไม่ใช่การ Spam แตกต่างกันตรงที่ผู้รับ ต้องเกิดความสนใจและกรอกรับข้อมูลข่าวสาร จึงทำให้เราสามารถส่งข่าวสารไปให้ผู้รับผ่านทาง Email ได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดของการทำ Email Marketing ก็คือการได้ฐานข้อมูลของลูกค้า และเราก็จะสามารถส่งสินค้าหรือบริการต่างๆ ให้ผู้ที่ติดตามได้นั้นเอง

8.Post ฟรี ลงประกาศฟรี
คือการไปขอลงประกาศตามเว็บไซต์ที่เปิดให้สามารถลงประกาศได้ฟรี อย่างเช่นเว็บ pantipหรือ thai2hand เหล่านี้ เราสามารถนำสินค้าหรือบริการไปลงประกาศตามหมวดหมู่ได้ครับ

9.ทำ Affiliate Program
อธิบายง่ายๆ ก็คือการหาลูกค้าให้กับทางเว็บแล้วได้ค่าคอมมิชชั่น เช่น จัดทำเว็บแล้วขายโปรแกรมทัวร์ต่างๆผ่านทางเว็บของผู้จัดทำ

10.การทำ Search Engine Optimization (SEO)
พูดง่ายคือการทำให้เว็บเราแสดงผลต้นๆ(หน้าแรก)ในการแสดงผลในการค้นหา เช่น ถ้าเราทำคีย์ บริษัททัวร์ เมื่อเราคีย์คำว่าบริษัททัวร์ ในช่องแสดงผลการค้นหา เราจะต้องเจอเว็บไซต์ของเราใน 10 ลำดับแรกของการค้นหา ก็จะถือว่าการทำ SEO ประสบผลสำเร็จ ข้อดีคือประหยัด แสดงผลได้ยาว ข้อเสียคือช้าต้องวิเคราะห์และมีขั้นตอนหลายอย่างในการทำ (SEO)

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

7 เคล็ด(ไม่)ลับ กับการตลาดออนไลน์

 
1. กฎ 10/90
มี ธุรกิจจำนวนเพียง 10% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จกับการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น การลงโฆษณาออนไลน์ การตลาดผ่านอีเมล์ การทำเวปไซต์ แล้วอะไรคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเป็นหนึ่งในสิบเปอร์เซ็นต์นั้น ไม่ใช่เรื่องยากถ้าคุณทุ่มเท 90% กับการปรับปรุงคุณภาพของการตลาดออนไลน์ ซึ่งทำได้โดยการวัดผลอย่างชัดเจน (Performance Assessment) วิเคราะห์ผลอย่างแม่นยำ (Analysis & Review) และปรับปรุงอย่างชาญฉลาด (Continuous Optimization)

2. วัดผลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
If you can’t measure, you can’t control อะไรก็ตามที่คุณวัดไม่ได้ ก็ยากที่คุณจะควบคุมมันได้ การตลาดออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน หลายธุรกิจลงทุนไปกับสืื่อหลากหลายชนิด ทั้งลงนิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แผ่นพับ ใบปลิว หรือ โฆษณาผ่านอินเตอร์เนต แต่กลับละเลยที่จะวัดผลของสื่อเหล่านั้นอย่างมีรูปธรรม เป็นโชคดีของการตลาดออนไลน์ ทีมีทางออกง่ายๆ ในการวัดผลตอบแทน เนื่องจากมีเครื่องมือในการวัดผลอย่าง Google Analytics ซึ่งนอกจะใช้บริการฟรีแล้วยังสามารถ ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง ไม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้จะเป็น website, flash, email หรือ video แม้ว่าจะมีข้อจำกัดเรื่อง pageviews หรือจำนวนหน้าในการเข้าชมจะต้องไม่เกิน 5 ล้าน pageviews ต่อเดือน สำหรับฟรี account หากเกินกว่านั้นก็มาเป็นลูกค้าโฆษณาของ Google ก็สามารถใช้ฟรีโดยไม่มีข้อจำกัด

3. วิเคราะห์เด่น ก็เป็นต่อ
ปัญหา ที่พบในปัจจุบันไม่ใช่ว่าเราไม่สามารถวัดผลได้ แต่การแปลผลที่ได้นั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า จะมีประโยชน์อะไรที่มีกราฟสถิติมากมายแต่เราไม่ทราบว่าข้อมูลเหล่านั้นส่งผล อย่างไรต่อเวปไซต์ของคุณ เคล็ดลับก็คือ Segmentation คุณต้องพยายามแบ่งกลุ่มผู้เข้าชม อาทิเช่น มาจาก Search Engine, โฆษณาออนไลน์, หรือพิมพ์ url ตรงๆเข้ามาเลย และทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานจากข้อมูลที่ Segment เรียบร้อยแล้ว จะทำให้คุณทราบถึงข้อมูลเชิงลึกของลูกค้ากลุ่มนั้นๆอย่างลึกซึ้ง

4. ปรับปรุงเพื่อชัยชนะ
ที่ กล่าวมาคงจะไม่สมบูรณ์ถ้าขาดส่วนการปรับปรุง (Optimization) เพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า เมื่อคุณได้ข้อมูลจากการวิเคราะห์อย่างละเอียด คุณสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวมาทดสอบ เพื่อปรับปรุงให้มีผลตอบแทนต่อหน่วยสูง
ที่สุดกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องพยายามเปลี่ยนจากผู้เข้าชมเป็นลูกค้ามากที่สุด (Conversion) ไม่ว่าจะเป็นการทำรายการซื้อสินค้า สอบถามราคา หรือ ลงทะเบียนจดหมายข่าว

5. SEO
Search Engine Optimization (SEO) แปลตรงๆก็คือ การปรับแต่งเวปไชต์เพื่อ Search Engine เนื่องจากในปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเตอร์เนตจำนวนไม่น้อยที่ค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine อย่าง Google, Yahoo, MSN หรือ Ask.com ทำอย่างไร Search Engine เหล่านี้จึงจะสามารถแสดงผลลัพธ์ในการค้นหาเป็นเวปไซต์ของเราอยู่ในอันดับ ต้นๆ นั่นเป็นที่มาการของ SEO เคล็ดลับหนึ่งก็คือ ส่ง Sitemaps ให้กับ Search Engine ดังๆ ที่ dmoz.org เพื่อการกระจายของ URL ไปยัง Search Engine ทั้งหมดข้างต้นฟรี

6. SEM
Search Engine Marketing คือการแสดงโฆษณาควบคู่ไปกับผลลัพธ์ของการค้นหาผ่าน Search Engine บางคนเข้าใจ SEM ว่า เพียงลงทุนในโฆษณามากๆผลลัพธ์ก็จะดีเอง หลายครั้งที่อันดับที่ของผลลัพธ์การค้นหาคนที่ลงทุนมากกว่ากลับได้อันดับที่ ต่ำกว่า เคล็ดลับก็คือ การ Benchmark เทียบการลงทุนกับผลตอบแทนจึงจะทราบว่า ความคุ้มค่าในการทำ SEM เป็นอย่างไร

7. Consultant is not needed
หาก มีทั้งบุคคลากรที่เชี่ยวชาญและเวลาในการวัดผลและวิเคราะห์รวมไปถึงการปรับ ปรุงผลลัพธ์ในการทำการตลาดออนไลน์ ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ก็ไม่มีความจำเป็น แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีการตลาดออนไลน์ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การมีทีมที่ปรึกษาซึ่งทุ่มเทกับการวิจัย พัฒนา และนำมาใช้จริง จะสามารถลดทั้งต้นทุนและเวลาอีกทั้งเพิ่มความคุ้มค่าให้กับเม็ดเงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่คุณลงทุนไป ให้เกิดประโยชน์สูงสุด